The Understory by Saneh Sangsuk


The Understory
Title : The Understory
Author :
Rating :
ISBN : 1646052757
ISBN-10 : 9781646052752
Language : English
Format Type : Paperback
Number of Pages : 173
Publication : First published September 1, 2003

A novel of man's relationship with nature, power, and the vitality of storytelling, from beloved Thai author Saneh Sangsuk.
The lovable, yarnspinning monk Luang Paw Tien, now in his nineties, is the last person in his village to bear witness to the power and plenitude of the jungle before agrarian and then capitalist life took over his community. Nightly, he entertains the children of his village with tales from his younger years: his long pilgrimage to India, his mother’s dreams of a more stable life through agriculture, his proud huntsman father who resisted those dreams, and his love, who led him to pursue those dreams all over again. Sangsuk’s novel is a celebration of the oral tradition of storytelling and, above all else, a testament to the power of stories to entertain.


The Understory Reviews


  • Paul Fulcher

    The Understory, published by Peirene Press, is Mui Poopoksakul's translation from Thai of Saneh Sangsuk's 2003 novel, the second of his works to appear in English after
    Venom from the same publisher and translator (although the translator completed this book first as she explains
    here).

    The novel open on a night near the end of December in 2510 B.E., or 1967 C.E., and the tam kwan khao ceremonies for the Goddess of Rice had come and gone, this time, mirthless occasions, without the usual fanfare, even subdued like a funeral, but the harvest season hadn’t yet arrived. The narrator introduces us to the jungle hamlet of Praeknamdang, by telling us what happened in that year both to the people of Praeknamdang and wider Thailand, before giving us some history and a glimpse into the future ("It was eighteen years before ...) but, buried in this bravura panorama is the novel's key character:

    It was the year the Venerable Father Tien Thammapanyo, or Luang Paw Tien, the abbot of Praeknamdang Temple, turned ninety-three years old, and was seventy-three years into his monkhood, and though his body was ancient and he suffered because of his asthma and arthritis, he remained vital enough to walk his alms route into the village nearly every day, the round-trip distance just shy of seven kilometres, and Kamin, his big ox, who was tame as a dog, still tagged along right behind him and ate for his meals whatever food Luang Paw Tien received as alms, ate not only bananas, sugar cane, watermelon and oranges and such, but everything, indis-criminately, be it curry over rice or rice with salt-cured fish or sweets, as long as it was Luang Paw Tien who hand-fed the food to him, the ox being unwilling to accept food from anyone else's hand, being that he had once been severely injured when he had stumbled in a wua lan race, and for that he had been slated for slaughter, but Luang Paw Tien had, on an alms round, asked for the ox's life to be spared and had nursed and cared for him until he had gradually regained his strength; therefore Luang Paw Tien was the only person Kamin loved and trusted, and he accompanied the abbot practically everywhere, as far as possible.

    Luang Paw Tien is most famed, particularly among the children, for his rich repository of riveting tales, some more fable like, others based on his own life - he never quite says they are all true, but certainly doesn't say they are fictional either, many of them occultist. Most are tales of the past and a way of life that is passing, but the Abbot himself sees and fears the future:

    The natives and their children and grandchildren would one day be relegated to the position of serfs because, even in those years, rights to the land that had from time immemorial belonged to the people of Praeknamdang were falling into the hands of people from elsewhere. He recognized, too, that before long, the village could have a golf course, and that the heirs of Praeknamdang might end up as caddies; that the village could see a wealthy investor come in and build polytunnels for mushroom farming, and the heirs of Praeknamdang might end up as hired farmhands; or that here in the village holiday homes could be built around an artificial lake, with the development given an English name like ‘Praeknamdang Lakeville', and the heirs of Praeknamdang might end up as landscapers or security guards (the latter of which job, in his opinion, was 'one any mean dog could do, and do better than a person'); or that the village could have ponds for raising barramundi, and the heirs of Praeknamdang might end up as workers at those fish farms, as had already happened to people in other villages.

    But the tale that dominates his story-telling that night, and the novel, is that of how he became a monk, a tale of a long-running battle with a tiger, one with a tragic end.

    Wonderfully translated - one really feels to have been transported to around the fire and sucked in, like the children, to Luang Paw Tien's storytelling.

  • gam s (Haveyouread.bkk)

    ★★★★ what the heck did I just read !?!

    โคตรจีเนียส เป็นการยำรวมตำนานเรื่องเล่าของจากทุกแห่งหน สารภาพว่าตอนแรกแอบตกใจกับบันทึกของแดนอรัญนิดหน่อยว่าเห้ยเอามาจากคนอื่น แบบ inspired มาจากชาวบ้านชาวช่องเขาเกือบหมดเลยหรอ 555 แต่ภายหลังพบว่าอาจจะเป็นความตั้งใจส่วนหนึ่งของผู้เขียน ที่อยากสะท้อนแก่นของความเป็นนิยายขนาดสั้นเรื่องนี้ว่ามันเป็น มุขปาฐะ (เรื่องเล่าปากต่อปาก) ไง มันเลยมาจากแหล่งหลายที่ มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวหรือรายละเอียดไปตามกาลเวลา สะท้อนแนวคิดคติชนวิทยา ซึ่งในบริบทของหลวงพ่อก็ส่วนหนึ่ง แต่ในเชิงเทคนิค แดนอรัญก็เอามาเล่าใหม่แบบ stream of consciousness เป็นมุขปาฐะอีกรูปแบบนึงแก่เรา เป็นนิทานซ้อนนิทานของหลวงพ่อเทียน พระภิกษุชราผู้เล่าเรื่องเก่งปานคริสโตเฟอร์ โนแลน แห่งแพรกหนามแดง

    เราแบ่งเรื่องราวออกเป็นสองส่วน ในส่วนแรกคือ ความเป็นไปในแพรกหนามแดง วิถีสมัยใหม่เริ่มคืบคลานเข้ามาให้ชีวิตของชาวบ้านมากขึ้นแล้ว หลวงพ่อเทียน ผู้เป็นคล้ายๆศูนย์รวมจิตใจของหมู่บ้านก็เลยอาจจะมีความรู้สึกอดรนทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้กาลเวลาและยุคสมัยเข้ามาบ่อนทำลายผู้คนในหมู่บ้าน แกเลยพยายามสร้างจิตสำนึกยึดโยงให้กับเด็กๆในหมู่บ้านด้วยเรื่องราวน่าตื่นตาตื่นใจของป่าเขาลำเนาไพร ทั้งเรื่องจอมขมังเวทย์ ช้างป่า หรือเสือสมิง เป็นกุศโลบายให้ทุกคนยังรู้สึกรักและหวงแหนความเป็นบ้านเกิด (แต่เราก็รู้แหละว่าสุดท้ายหลวงพ่อทำอะไรไม่ได้ เด็กๆโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่โดนความเจริญทำร้ายจนหมดอาลัยตายอยาก เช่นเด็กหญิงแพร อัญชัญ ที่อดีตเป็นเด็กเรียนเก่ง เป็นมือคัดลอกเรื่องราวของหลวงพ่อให้เพื่อนๆแลกกันอ่าน สุดท้ายก็หนีตามผู้ชายไปแล้วกลายเป็นโสเภณีในเมือง) อีกนัยหนึ่งคือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในแพรกหนามแดง ก็เป็นเรื่องของแพรกหนามแดงเองนั่นแหละ นี่คือส่วนของอินโทร อยู่ที่ประมาณ 2/3 ของเล่ม (อ่านไม่ผิด ไม่เคยพบเคยเห็นเหมือนกันที่อินโทรจะ 50% ของเล่ม 5555)

    ในส่วนที่สองคือ เรื่องเล่า เป็นเรื่องที่หลวงตาเล่าให้เด็กๆฟังในค่ำคืนหนึ่งหลายปีก่อนที่การเปลี่ยนแปลงมันจะเข้ามาถึงหมู่บ้านแบบที่ใครก็ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งเรื่องมันพาเราไปไกลมาก เป็นนิทานเกี่ยวกับชีวิตของหลวงพ่อเองตั้งแต่เกิดมาในฐานะเด็กชายควันเทียน การที่ชีวิตต้องไปเกี่ยวโยงกับป่า และเสือผู้ดุร้ายเจ้าแห่งป่าเขา ซึ่งความสัมพันธ์ของคนและผืนป่าในส่วนนี้ถูกเรียบเรียงออกมาด้วยภาษาที่งดงามมากกกก คืออ่านแล้ววางไม่ลงเลย ในแง่ของฝีมือการเขียนคือสัมผัสได้เลยว่าแดนอรัญเป็นคนที่รักในผืนป่า ธรรมชาติมากไม่งั้นคงไม่สามารถเขียนอะไรออกมาได้อเมซซิ่งแบบนี้

    โดยรวมคือมีครบทุกรส สนุกมาก เขียนได้สุดๆมาก บางช่วงเครียด็เครียดมาก ตลกก็ตลกมาก บทความรักอันแสนอบอุ่นก็เขียนดีมากกกกจนเราอยากร้องไห้กับความสุขอันท่วมท้นมากของตัวละครจริงๆ เขียนถึงเต่ากินเห็ดโคนก็รู้สึกว่ามันน่ารัก เขียนถึงวัวก็อยากซื้อวัวมาเลี้ยงบ้าง เก็บไว้ได้ทุกอารมณ์ ทั้งสุข ทั้งเศร้า ความสวยงาม ความทมิฬหินชาติไม่ปราณีใครของทั้งมนุษย์และสัตว์ร้าย แบบอ่านละเหงื่อออกมือหนังสือเปียก ตื่นเต้นจนหน้าสุดท้ายจริง

    และใช่ ทั้งหมดนี่อัดมาในจำนวนแค่ 170 หน้าแบบเป็นธรรมชาติมาก ตอนอ่านรู้สึกเหมือนเรากลายร่างเป็นบักหำน้อยนั่งตาแป๋วฟังหลวงพ่อเล่านิทานข้างกองไฟไปด้วยกัน เก่งชิบหาย ทำได้ไง

  • Nuttawat Kalapat

    แดนอรัญ แสงทอง เก่งจริงๆ เก่งจริงๆ ครับ
    อ่านสนุก ภาษางดงามแบบโคตรเพลิน ไม่มีการใช้ภาษาที่งดงามแบบเยิ่นเย้อน่ารำคาญ งานคุณภาพ
    .
    ที่สำคัญฉากต่อสู้ ปะทะอารม กันโคตรมันส์ มันส์มาก ระทึกมาก ไม่บอกว่าอะไรสู้กับอะไรนะ
    .
    .
    เล่มที่ 68/2021 (178)
    เจ้าการะเกด
    ผู้เขียน: แดนอรัญ แสงทอง
    สำนักพิมพ์: สามัญชน
    พิมพ์เมื่อ: มีนาคม 2558
    .
    ไม่อยากสปอยมาก จะบอกเพียงแค่ ธีมของเรื่องคือ ชายคนหนึ่ง ที่มีบิดาเป็นพรานป่าสุดห้าว และ มี ภรรยาสาวนาม การะเกดนั่นเอง
    โดย เปิดเรื่องมาชายคนนี้เป็นพระตอนต้นเรื่อง แล้วค่อยย้อนอดีตไปเล่าเรื่องของคนนี้ๆก่อนเป็นพระ และไปจบเจอกับอาถรรพ์เข้าให้
    .
    .

    .
    ความเห็น
    - สุดอีกแล้วครับ บรรยาย ภาพธรรมชาติโดยเฉพาะสัตว์ได้ครบถ้วนทุกกระบวนความ
    - ไม่ต้องย่อหน้ากันเลย มาแบบรัวๆๆๆๆ
    .
    10/10 ไปเลยครับ อ่านรวดเดียววางไม่ลง
    .

  • Makmild

    ช็อคแดกตอนสุดท้าย แต่ทั้งมวลทั้งเล่มนี้ถ้าให้พูดเหมือนดูสารคดีสัตว์ป่า ดูเนชั่นแนลจีโอกราฟิกเวอร์ชันคนไทย ป่าไทย ได้ยินเสียงนกร้อง ได้ยินเสียงช้างเล่นน้ำ ได้ยินเสียงกรอบแกรบ เหยียบใบไม้ของสัตว์หรือคนสักตัว ได้เล่นกับวัว ได้ไปล่าจระเข้ได้ไปดูจับเสือ เสมือนได้เห็นกับตา คนอะไรเ���ียนเรื่องอะไรได้สมจริงและสร้างภาพในหัวคนอ่านได้มากขนาดนี้

    เราคิดเอาเองว่าการอ่าน "เจ้าการะเกด" นี่อ่านได้หลายระดับ อ่านแบบตีความก็ได้ อ่านแบบนั่งฟังหลวงพ่อเทียนเล่าตำนานพื้นบ้านก็ได้ อ่านแบบคนรักป่ารักเขาที่โดนสังคมเมืองเบียด ธรรมชาติโดนทำร้ายก็ยังไหว ส่วนตัวไม่ไปถึงขั้นถอดความเพราะอ่านแกเล่าไปเรื่อยขนาดนี้ก็สนุกเหมือนได้ไปนั่งก่อกองไฟ ปิ้งข้าวหลามในฤดูหนาว ฟังตำนานไร้เป้าประสงค์แต่ข้นปร่าไปด้วยความทรงจำและภูมิปัญญาของพระเฒ่าเทียนที่ไม่รู้แกเล่าจริงเท็จขนาดไหน แต่ใครจะสนเพราะมันสนุกจนไม่อยากหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ต่างหาก

    จริงๆ เจ้าการะเกดมาหน้าที่ 100 จาก 170 เพราะงั้นถ้าถามว่าทำไมหนังสือเจ้าการะเกดไม่ชื่อหนังสือ ควันเทียน (ขอร้อง ใครจะไปซื้อวะ) ต้องอ่านจนจบถึงจะเข้าใจ หนังสือสนุกมาก อ่านเหนื่อยมาก มิตรสหายบอกอ่านแบบคนดำร้องแรปดิ (จริงๆ แค่ร้องแรปเฉยๆ ใส่ดำเอง) ก็เออ ดีขึ้น แต่ในหัวมันเป็นภาพงานสารคดีแบบช่วงซากาโมโต้ ริวอิจิเดินไปเก็บเสียงต่างๆ ในป่าแทน ไอ้ชิบหาย เลยอ่านช้าเป็นเต่าคลานกินผักบุ้ง

    ตลอดเวลาที่อ่านมักจะคิดถึงยาย กับบ้านบนเขาที่ยายป���ูกไว้ใกล้ๆ วัด ยายชอบเล่าให้ฟังว่าวันดีคืนดีไปเก็บเห็ดจะเจอช้างป่าต้องรีบหลบ (ตลกสัดๆ แต่คิดว่าเจอจริงๆ คงไม่ตลก) หรือตำนานผีๆ สางๆ ว่าเจออะไรบ้าง ตอนฟังก็ไม่รู้หรอกจริงไม่จริง แต่มันก็สนุกแบบขำๆ ดี

    แต่นั่นแหละ นี่อ่านแดนอรัญทุกรอบ เป็นไข้ไปเสียชิบสองรอบ (ไม่เกี่ยวกัน แค่เป็นความบังเอิญเฉยๆ) ตอนอ่านอสรพิษก็ไข้ขึ้น ภาพเบลอๆ มัวๆ อ่านเจ้ากระเกดก็ไข้ขึ้น ตาร้อนๆ เหมือนวิญญาณสมิงเข้าสิง เห้อม บ้าบอ คนมันอิน

  • Joseph Schreiber

    This Thai novel captures the sheer magic of oral storytelling, transforming the simple tale of one man's boyhood and early adulthood in a jungle environment that is rapidly disappearing under the pressure of agriculture and modern life, into a gripping adventure that pulls you along right through to the very end. With no chapter breaks and unbroken paragraphs that extend for 10 pages or more at a time, the narrator—a monk in his nineties and seasoned storyteller—knows how to hold his audience. What begins as a third person narrative in which Luang Paw Tien is introduced entertaining the children and the adults of his village with tales of his travels through South Asia and a regular routine of magical tales, suddenly becomes a lengthy and lively monologue featuring his eccentric hunting father and patient farming mother and an ongoing battle with the jungle's most feared inhabitant, tigers.

    A longer review can be found here:
    https://roughghosts.com/2024/03/22/bu...

  • Andy Weston

    This is a charming fictional memoir told by a ninety year old monk that reads like a piece of non-fiction. Luang Paw Tien shares anecdotes of jungle life in Thailand before his village’s transition to large-scale farming and urban development; these he relates verbally to the gathered children of the village.

    His favourite tales are from his childhood, and bring out in him a sort of childhood innocence, when otherwise the community sees him as an eccentric.

    The characters that populate the stories he tells are boars, snakes, monkeys, elephants, crocodiles, and tigers. Into his own collection of experiences there is an undercurrent of folklore, of traditonal belief, a smattering of the fantastical, a faint aroma of the supernatural.

    Its midway through the piece when a plot takes shape, and it involves a tiger. Reading pace gathers for a sensational climax.

  • Matthew

    This was a tough book. Constantly shifting from beautiful prose that captured the environment and the natural world, to then becoming dense with list-like narrative that dragged, to then being interrupted with true brutal depictions of a harsh reality where a hunter combats the cruelty of predation with a pure human cruelty which was quite hard to read. I don’t really know how I feel about this one.

  • peppY

    เทพแห่งภาษา พ้นช่วงแรกๆมาจะไหลลื่นโดนกลืนกินลงไปในตัวหนังสือ พรรณนาต่อเนื่องไม่หยุดไม่หย่อนเป็นเรื่องเล่าที่รู้สึกจริงยิ่งกว่าจริง ตอนเจ้าการะเกดปรากฏตัวออกมา��นแรกเท่านั้นแหละ ภยานกรสหลั่งไหลในเซลสมองเลยทีเดียว เตือนแล้วนะ

  • Hưng Trần

    Didn’t expect there to be so much tenderness and (tender) humour, during the first half at least, which with its rhizomatic non-structure and folkloric storytelling weaves an endearing tale of tales, of a land across times.

    Didn’t expect such a gear-shift right as the second half begins and it goes full on jungle-core à la second half of Tropical Malady.

    Read for the most part by the side of the Mekong.

  • Karin

    This took about half the book for me to get into it, but it ended up being a very compelling story of a man vs tiger, nature vs agrarian society in rural Thailand. A very breathless pace to the writing style.

  • Tok

    ไม่ค่อยได้อ่านงานของนักเขียนไทยมากมาย เล่มนี้เหมือนก่อนอ่านคนชมเยอะ เลยผิดหวังนิดหน่อยน่าจะเพราะหวังเยอะเกิน อ่านตอนแรก ๆ นึกถึงพาร์ตนึงใน จุติ ของ อุทิศ เหมะมูล การเล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ ของผู้เฒ่าผู้แก่ ผสมเรื่องราวธรรมชาติและความเหนือจริง ความสนุกส่วนตัวของเราจะมาจากการเจอคำไทยที่ไม่ค่อยเจอ แล้วเอาไปถามพ่อแม่หรือยายมากกว่า (อ่าว) พอได้ฟังคนอื่นพูดถึงเล่มนี้ (แนวคิดว่าเรื่องเล่าเป็นการ cope อย่างนึงก็น่าสนใจมาก) เลยทำให้นึกเรื่องของความทรงจำ เรื่องเล่าของยายตนเองที่รางเลือน ซึ่งไอ้ความรางเลือน จำไม่ค่อยได้นี่แหละทำให้เกิดเป็นเรื่องราวต่าง ๆ เสริมแต่งต่อไปอีก นึกถึงบันทึกของทวดที่น่าเบื่อมาก เพราะเขียนแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ๆ และความฝัน นึกถึงเวลาเราซักไซ้ถามยายถึงเรื่องในอดีต ซึ่งจะไม่ค่อยได้อะไรมาก แม้เราจะตีความและใช้วิธีการถามนำก็ตาม เลยเข้าใจว่า อ่อ พวกเขาไม่ได้เป็นนักเล่าเรื่องแบบนั้น 555555

    อีกประเด็นนึงที่คิดกับตัวเองไม่ตกคือ พอมันเป็นนิยายไทยที่โยงกับเรื่องป่า มีเรื่องสัตว์ เวทมนตร์ และเล่าในลักษณะแบบนี้ มันทำให้เรานึกไปถึงพวกวรรณคดีไทยที่ต้องเรียนสมัยประถม/มัธยม และไปยึดโยงกับความรู้สึกหนึ่งโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ทำให้เราเบื่อ ไม่ใช่ความผิดหนังสือ แต่เป็นที่เราเอง ไม่รู้ทำไม 555

  • Bernie Gourley

    An elderly monk tells stories from his life to the kids living in a small [and fictitious] Thai village. This is one of those works of literary fiction that you have to give a chance. The pacing, the subject matter, and the approach of the first part of the book is such that anyone without an intense interest in Thai village life or the thoughts of a Thai monk on the state of Buddhism in India (almost non-existent) will find it a bit of a slog. However, as the story shifts to the young man's (pre-monk) life, adolescence through life as a newly married man expecting his first child, it becomes an intensely gripping story.

    In the early parts, there's a lot of violation of that old chestnut, "show, don't tell" and -- like much literary fiction -- it's not clear that there will be a story (versus exposition, character development, and description of events of a non-story like nature.) However, this transitions into the evocative story of how the narrator came to be a monk after a tragic farming householder experience. I can't even give an accurate description of how far in I think the book makes this swing because my reading pace in the second part was so much quicker and more compelled than early on.

    The book has hints of supernatural elements in it but can be read as realism in an environment of intense superstition.

    I'd highly recommend this book for those who enjoy literature in translation. Give it a chance to win you over. It will, soon enough.

  • Good Afternoon

    ถึงขนาดเก็บเอาไปฝัน...

  • Klin กลินท์

    จับจิตจับใจ “เจ้าการะเกด”
    เรื่องรักแต่ครั้งบรมสมกัป ของแดนอรัญ แสงทอง

    พ.ศ.สองพันสี่ร้อยเก้าสิบนี้เอง หลังจากที่ข้าเดินธุดงค์กลับมาจากแดนพุทธภูมิพู้น, น.172

    “ค่ำคืนนั้นหนาวเฉียบเยียบเย็นและสงบสงัดและอ้างว้างเหมือนที่เคยเป็นมาทุกค่ำคืนของต้นฤดูหนาวแห่งแพรกหนามแดง ลมหนาวโบกโบยมาแล้วแต่ยังไม่ได้โหมกระหน่ำรุนแรง เพียงแต่ถะถั่งมาไม่รู้จบสิ้น เรื่อยรินมาสม่ำเสมอ แห้งผากและเงียบเชียบ ส่อเค้าแห่งความทารุณ มีความทมิฬหินชาติและความมุ่งร้ายหมายขวัญแอบแฝงอยู่ในความเยียบเย็น และอาการโบกโบยอันช้าเชือนของมันนั้น ยิ่งดึกดื่นสายลมก็ยิ่งช้าเชือนลง แต่ความเยียบเย็นและความแห้งผากกลับทบทวีขึ้น แทรกซึมเข้าไปอยู่ในทุกอณู” น.13
    (ความหนาวและสายลมแบบไหนกัน ? ทว่างดงาม)

    ส่งท้ายการอ่านหนังสือรักในเดือนรักของเดือนกุมภาพันธ์ด้วยแบบฉบับความรักของแดนอรัญ แสงทอง ผู้พาข้าพเจ้าดำดิ่งลงไปในจิตวิญญาณของป่า สรรพสัตว์นานา โดยเฉพาะอย่าง “เสือ” (ช่างลึกซึ้งดังราวกับว่าเป็นเสือและสรรพสัตว์เหล่านั้นเองเสียเอง) และค้นหาภายในจิตใจของตนเองโดยเฉพาะวีระรสของจิตใจที่เคล้าไว้ด้วยความหลากหลายของรสต่าง ๆ กันไปทั้งศฤงคาระรส เราทระรส พีภตสะรส หาสยะรส กรุณารส อัทภุตรส ภยานกะรส ศานตะรส ในระหว่างของบรรทัดนั้น ความรู้สึก อารมณ์จากถ้อยคำอันงดงามค่อย ๆ เบิกบาน พรั่งพรู พรั่นพรึง แตกกิ่งก้านออกไปเรื่อย ๆ พุ่ง เปลี่ยนทิศทางไปเต็มท้องฟ้าของความคิด ความรู้สึกและจิตใจในท่ามกลางของสุขโศกนาฏกรรม ณ แห่งนั้น แพรกหนามแดง

    ปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์และรับเอารสต่าง ๆ เหล่านั้น

    “บางค่ำคืนหลังจากฝนตกหรือในขณะที่ฝนสร่างซาเบาบางลงเหลือแต่เพียงอาการพร่างพรำ ป่าทั้งป่ากลายเป็นสีน้ำเงินพร่างพราวระยิบระยับและสว่างไสวราวกับมีงานนักขัตฤกษ์เพราะแสงหิ่งห้อยนับหมื่นนับแสนตัว แสงของหิ่งห้อยมากมายเหลือคณาเยี่ยงนั้นข้าคงไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้วในชั่วชีวิตนี้ แสงนั้นและการกะพริบพร่างพรายของมันเย้ยแสงจันทร์และแสงดาว แสงนั้นและการกะพริบพร่างพรายของมันทำให้โลกงดงามกว่าสรวงสวรรค์”

    วางไม่ลง! จับจิต งดงาม สวย ธรรมชาติและลึกซึ้ง

    ตาเฒ่าจันทร์ผา แม่ดวงบุหลัน เจ้าการะเกด ควันเทียน เทียน หลวงพ่อเทียน

    อ่านหมายเลข ๙/๒๕๖๐ ลองหาอ่านดูครับ #เจ้าการะเกด #แดนอรัญแสงทอง #อ่าน #อ่านแล้วอ่านเล่า #BooksBAR #ณอ่านTheReaderTheKlinLibrary #AtTheReader #กลินท์แลนด์ #KlinLand ณ อ่าน The Reader- The Klin Library

  • a.g.e. montagner


    Videorecensione in italiano sul profilo Instagram della libreria
    il pensiero meridiano.

    * * *. * * *. * * *

    A literary map of the far east would probably show, for most people, a handful of often overexposed countries and little more. Praise goes therefore to the
    Newest Literary Fiction group here on Goodreads for taking the road less travelled and bringing me into a fascinating exploration of Thailand.

    I've read
    Mui Poopoksakul's recent translation into English published by Deep Vellum and Peirene Press; but it should be noted that O Barra O published the novel back in 2006 as
    Una storia vecchia come la pioggia, in a translation from the French version. There are interesting differences in transliteration and solutions between the two languages.

    Saneh Sangsuk's debut novel
    The White Shadow: portrait of the artist as a young rascal is considered among the top 20 of Thai literature. As Poopoksakul pointed out
    in interview, one of the recurring themes of their national literature, also common elsewhere, is the contrast between the metropolis Bangkok and the rest of the country. This dichotomy has been used with a polemical tone in the past, but the current fashionable literary trends are urban (e.g.
    Bangkok Wakes to Rain). Sangusk decides instead to decentralise his story in both place and time, as well as, I'm tempted to say, in the use of narrative style.

    The early pages of the novel bring us in long-winded phrases to the tiny country village of Praeknamdang in 1967, giving us first a taste of the cultural climate of the times (Chartchai Chionoi was still the world fly-weight champion; K. Surangkanang was still considered the country's leading novelist; etcetera) and then rapid flash-forward glimpses into the future adult lives of what is at the time the generation of the village's children.
    They are the favourite audience of Luang Paw Tien, the beloved abbot of the local buddhist temple with a penchant for storytelling. The 93-year-old bhikkhu seems to have a bottomless well of stories to tell to the men and children gathered around the fire at the end of the day's work. His tales show a nationalist pride in extolling occultism and Thai boxing, two traditional arts fallen into disrepute, but also an irresistible anti-colonial sentiment against both French and Japanese (who occupied Thailand during WWII); his apparently lazy and formulaic variations on the same episodes show in retrospect subtle shifts in morals. Most importantly, he longs to instill in the younger generation an intimate knowledge of the jungle, that is now being lost: "I am a son of the jungle... you are children of the fields". That is the topic of the two long stories from Tien's youth that take up the entire second half of the novel. In his words, the jungle is a place of marvel, mystery and even violence; but even in the heat of the chase there's always a moment in which the young Kwantien stops to admire with amazement the night panorama, indifferent to human life:

    The whole world had turned a gauzy green and was now laden with melancholy, mystery and menace, and with air so heavy it was hard to breathe. [...] Early in the night, a flock of racked-tailed drongos could be heard brawling. Owls hooted loudly as they landed on the fig's branches and peered down at us with their ominous eyes. There were the sounds of flying lemurs flapping through the air as they skipped from one treetop to the next, shrilling eerily like those pret ghosts condemned to eternal hunger; tokay geckos croaking a low, haunting croak...


    Sangsuk's ability here is dissimulating his great mastery behind the chitchat of an old man, and the refined narrative techniques of postmodernism behind the most ancient art of oral storytelling around the night fire. Only after the surprisingly sudden end of the novel will the reader be able to sense, again in retrospect, the increasingly but deftly imperceptible darker bent in Luang Paw Tien's stories, and (if they're like me) they will want to circle back to the beginning, and will then realise the novel's hidden circular structure, linking the projected future of the village that was glimpsed at the beginning with the memories of the 19th century of an old, storied storyteller.

  • Bianca

    Discovered this book in a bookstore in Bangkok and what a fascinating read about the jungles of Thailand, with folklore, cultural traditions, and a hint of supernatural. Beautiful prose and captivating storytelling. Highly recommend!

    “The sarapi tree outside our hut adorned itself with innumerable white flowers, which later dropped and dotted the hut’s and the barn’s and the cattle shed’s roofs, the rest carpeting the ground. Cicadas trilled, and crickets and their cousins chirped, and swarms of bees buzzed as they flew about ever in search of nectar, and everywhere flitted kaleidoscopes of butterflies.”

  • Claire

    I wish I could give this a better rating. Perhaps it’s my fault, that I had no idea what to expect, or that I’m a little averse to gory details… In any case, it’s not for the faint of heart. Ultimately a ‘cautionary tale’ of revenge, fear, and obsession to the point of madness.

    It took me quite a while to get into it, but once I did the story had been swept away into another dimension entirely. Whether that’s a result of the author’s unintentional rambling or subconscious brilliance.. you decide.

  • Dan

    Oh boy. At first I struggled to get into this, the opening 60 pages or so meanders around people, places, folktales, but when Town starts to tell *the* story things crystallise.

    The story of the elephants left me wanting a word for humanity that's species-agnostic. As the story progresses I was left wanting a similar word for inhumane.

    We see the relationship between man and nature unfurl in parallel to that of a man and his nature. The ending gave me big feels and the seeming meanders of the early part come full circle as you reflect on where things end.

  • Johan D'Haenen

    Na het lezen van "Venom" kon ik die andere uitgave van een werk van Saneh Sangsuk door Peirene Press niet laten liggen.
    Het werk begint beloftevol, maar zakt dan serieus in elkaar. Tot op 1/3de van het boek is het teleurstellend. En dan begint het verhaal over de jeugd, het huwelijk en alles wat daarop volgt van ons hoofdpersonage... en dat laat je niet meer los... dat leest als een sterke pageturner.
    De sfeer, de verhaallijn, de zinsbouw, de woordkeuze, alles zit goed...

  • Rose

    I've tried this twice now but just can't get past the lengthy introductory run-on sentence where multiple characters and multiple timelines come at you like an avalanche. I'd have to read this book with a notebook and pen, or a graphic organizer. I just don't have the headspace right now.

  • Robert Davie

    The understory is a pleasant long paragraph (no chapters, one continuous long string of information) detailing the life of a Thai monk. Although bloated in size beyond its short story origins it nonetheless is a reasonable window into the harsh nature faced by communities living in the jungles. It doesn't wow or change your mind about life but I did admire the unique style of writing brought by Saneh Sangsuk. The ending is stuck on and the first half seems unnecessary to basically anything yet I do feel the atmosphere was excellent throughout, therefore I've given this book three stars.

  • Monrada Aungtrakul

    นวนิยานของแดนอรัญ ให้ความรู้สึกกระทบในจิตใจข้ามวันข้ามคืน ด้วยภาษา ด้วยเนื้อหาที่สื่อ สะท้อนความเป็นมนุษย์หลายมิติราวกับคนที่เขาเขียนถึงมีชีวิตอยู่ และเรื่องก็เคยเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่ง

  • ฮอ

    ต้องใช้คำว่าหลงใหลกับหนังสือเล่มนี้